ชื่อพื้นเมือง | ประดู่บ้าน |
ชื่อวิทยาศาสตร์ | Pterocarpus indicus Willd. |
ชื่อวงศ์ | LEGUMINOSAE-PAPILIONOIDEAE |
ชื่อสามัญ | |
ลักษณะเด่นของพืช | ดอกมีสีเหลือง กลิ่นหอมแรง |
บริเวณที่พบ | ขอบสนามฟุตบอลด้านหน้าอาคารอาลัมภะกัปปะนครและหน้าอาคารเวียงละกอน |
ประโยชน์ | |
ประโยชน์ : แก่นสีแดงคล้ำใช้ย้อมผ้า และเปลือกให้น้ำฝาดใช้ฟอกหนัง ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้นสูง 15-30 เมตร
หุ้มด้วยเปลือกหนาสีน้ำตาลซึ่งแตกสะเก็ดเป็นร่อง ลึก มีนํ้ายางมาก
เรือนยอดเป็นพุ่มกลมทึบ กิ่งก้านมักไม่ห้อยระย้าอย่างประดู่บ้าน ใบเป็นใบประกอบรูปขนนกเรียงสลับ
ใบย่อยเยื้องสลับกัน 4-10 ใบ
รูปไข่ถึงรูปขนาน กว้าง 2.5-5 เซนติเมตร ยาว
5-15 เซนติเมตร
ปลายเป็นติ่ง โคนมน ดอกมีสีเหลือง กลิ่นหอม
มีกลิ่นคล้ายดอกซ่อนกลิ่น ออกเป็นช่อยาว 10-20 เซนติเมตร ตามง่ามใบ
ดอกจะออกช่วงมีนาคม-พฤษภาคม ช่อดอกมีขนาดใหญ่
แต่ไม่แตกกิ่งก้านแขนงมากอย่างประดู่บ้าน(แต่ดอกจะบานแค่หนึ่งถึงสองวันเท่านั้น) ผลมีลักษณะเหมือนรูปโล่แบนบาง ตรงกลางนูน เส้นผ่าศูนย์กลาง
6-10 เซนติเมตร
ผลใหญ่กว่าประดู่บ้านมาก และมีขนปกคลุมทั่วไป การขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด การใช้ประโยชน์
ประดู่มีเนื้อไม้สีแดงอมเหลือง เสี้ยนสนเป็นริ้ว เนื้อละเอียดปานกลาง
มีลวดลายสวยงาม ใช้ทำเสา พื้นต่อเรือ เครื่องเรือน เครื่องดนตรี แก่นสีแดงคล้ำใช้ย้อมผ้า
และเปลือกให้น้ำฝาดใช้ฟอกหนัง ประดู่เป็นพันธุ์ไม้ที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ พระราชทานเพื่อปลูกเป็นมงคลประจำจังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 9
พฤษภาคม พ.ศ. 2537 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
นอกจากนี้ยังเป็นต้นไม้และดอกไม้ประจำจังหวัดชลบุรีและจังหวัดระยอง ชื่อเรียกตามท้องถิ่น ดู่
หรือ ดู่ป่า (ภาคเหนือ) ฉะนอง
(เชียงใหม่) จิต๊อก
(ไทใหญ่-แม่ฮ่องสอน) เตอะเลอ
(กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) ประดู่
หรือ ประดู่ป่า (ภาคกลาง) ประดู่เสน
(สระบุรี ราชบุรี)
|